การเกลารากฟันและขูดหินปูน เป็นการขจัดคราบพลัค หรือคราบหินปูนออกจากบริเวณฟัน และใต้รอยต่อเหงือก โดยใช้เครื่องมือทางการแพทย์ เป็นวิธีการเบื้องต้นในรักษาโรคเหงือกอักเสบและโรคเยื่อหุ้มฟันอักเสบ นอกจากจะช่วยรักษาการอักเสบของเหงือกแล้ว ยังช่วยรักษาสุขภาพฟันอื่นๆได้อีกด้วย วันนี้ทางศูนย์ทันตกรรม BIDC จะพาทุกคนมาทำความเข้าใจกันว่า “การเกลารากฟัน คืออะไร? ประโยชน์มีอะไรบ้าง หลังทำการรักษาไปแล้วต้องดูแลตัวเองยังไง” อ่านข้อมูลเพิ่มเติมด้านล่างนี้ได้เลยค่ะ
สารบัญความรู้เกี่ยวกับการเกลารากฟัน [คลิกอ่านตามหัวข้อ]
เกลารากฟัน (Root Planing) คืออะไร
การเกลารากฟัน (Root Planing) คือ การขจัดคราบพลัค คราบหินปูน และจุลินทรีย์ ที่สะสมที่ลึกลงไปที่ผิวรากฟันด้านล่าง และเนื้อเยื่ออักเสบที่อยู่ใต้เหงือกลึก ส่วนใหญ่จะต้องเริ่มต้นขูดหินปูนด้านบน ๆ ให้หมดก่อน หลังจากนั้นก็จะใช้เครื่องมือทางการแพทย์ เพื่อใช้ในการขูดหินปูนที่หลงเหลือออก และเกลารากฟันใต้เหงือก การเกลารากฟันโดยส่วนใหญ่ต้องทำร่วมกับการฉีดยาชาด้วย (เพราะจะเจ็บมาก)
นอกจากการเกลารากฟันจะรักษาการอักเสบของเหงือกแล้ว ยังช่วยรักษาอวัยวะปริทันต์อื่น ๆ ด้วย เช่น เคลือบรากฟัน (Cementum) เอ็นยึดปริทันต์ (Periodontal Ligament) และกระดูกเบ้าฟัน (Socket)
เคลือบรากฟัน (Cementum) เป็นส่วนชั้นนอกสุดของรากฟัน หุ้มรากฟันไว้ ทำหน้าที่เป็นที่ยึดให้รากฟันติดกับกระดูก โดยเคลือบรากฟันนี้ จะมีความแข็งน้อยกว่าเคลือบฟัน
ข้อมูลเพิ่มเติม : โครงสร้างของฟัน และรากฟัน มีอะไรบ้าง (คลิกอ่าน)
การขูดหินปูน กับ เกลารากฟัน ต่างกันอย่างไร ?
ขูดหินปูน (Scaling)
การขูดหินปูน เป็นการกำจัดหินปูนที่สะสมอยู่เหนือเหงือก และใต้เหงือก การขูดหินปูนนั้นจะใช้เครื่องขูดหินปูน โดยปกติการขูดหินปูนจะไม่มีการใช้ยาชา เพราะไม่ได้เป็นหัตถการที่ทำให้เกิดความเจ็บปวด แต่จะมีเพียงอาการเสียวฟัน และเจ็บบริเวณเหงือกเล็กน้อยเท่านั้น ใช้เวลาในการรักษาไม่นาน และสามารถรักษาเสร็จได้ภายในครั้งเดียว
ขูดหินปูนแล้วรู้สึกเสียวฟัน ปกติไหม?
โดย ทพญ.สาธิดา | ศูนย์ทันตกรรม BIDC
ดูวีดีโออื่น ๆ : ความรู้สำคัญเกี่ยวกับการทำฟัน Dentalk | By Dentists BIDC Thailand (คลิก)
เกลารากฟัน (Root Planing)
การเกลารากฟัน เป็นการกำจัดหินปูนที่อยู่บริเวณผิวรากฟัน และใต้เหงือกลึก โดยการเกลารากฟันจะต้องทำการรักษามากกว่า 1 ครั้ง และต้องคอยติดตามอาการของผู้ป่วยว่าดูแลทำความสะอาดได้ถูกต้องหรือไม่ อาการเป็นอย่างไรบ้างหลังจากรักษาด้วยวิธีการเกลารากฟัน จึงทำให้การรักษาด้วยวิธีการเกลารากฟันจะมีราคาที่สูงกว่าการรักษาด้วยวิธีการขูดหินปูน
ทั้งนี้คนไข้ที่ทำการรักษาเกลารากฟันจะต้องปฎิบัติตามคำแนะนำของทันตแพทย์อย่างเคร่งครัด เพื่อไม่ให้เกิดคราบหินปูนกลับมาเกาะบริเวณผิวรากฟันอีก
รู้ได้อย่างไร? ว่าต้องเกลารากฟันทั้งปาก หรือ แค่บางซี่
การทำการรักษาเกลารากฟันจะขึ้นอยู่กับการประเมินของทันตแพทย์ผู้ทำการรักษา ว่าสุขภาพช่องปาก และฟันของเราจะต้องรักษาการเกลารากฟันแบบทั้งปากหรือเพียงบางซี่ หากทันตแพทย์ประเมินแล้วว่ามีปัญหาหลายซี่ และรุนแรงก็จะต้องทำการรักษาหลายซี่ แต่ทั้งนี้การเกลารากฟันสามารถทยอยทำการรักษาได้ ไม่จำเป็นต้องเกลารากฟันทีเดียวทั้งปากใน 1 ครั้ง
ขั้นตอนการเกลารากฟัน
- จะทำการถ่าย X-ray ฟัน เพื่อประเมินดูระดับความรุนแรงของการเกิดโรค
- ทำความสะอาดช่องปาก และฟันในเบื้องต้น ด้วยการขูดหินปูน เพื่อกำจัดหินปูน และคราบจุลินทรีย์ที่อยู่บนฟัน และบริเวณขอบเหงือก
- การเกลารากฟันนั้นอาจจะต้องฉีดยาชา และขูดทีละส่วนหรือทีละครึ่งปาก เป็นการรักษาที่ใช้ความละเอียด ไม่สามารถทำการรักษาให้เสร็จได้ภายในครั้งเดียว
- ในกรณีที่เป็นโรคปริทันต์ชนิดรุนแรงต้องทำการผ่าตัดเปิดเหงือก เพื่อทำการรักษา ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับทันตแพทย์ที่ทำการรักษาด้วย
- หลังจากทำการรักษาด้วยวิธีการเกลารากฟันเสร็จ จะต้องมีการติดตามผลการรักษาอย่างเป็นประจำว่ามีสุขภาพช่องปาก เหงือกดีขึ้นหรือไม่
คลินิกทันตกรรม BIDC มีทันตแพทย์ผู้ให้การรักษาด้านโรคเหงือก (Periodontist) รวมถึงเครื่องมือที่ทันสมัย เครื่องมือทุกชิ้นต้องผ่านการทำให้ปลอดเชื้อด้วยความร้อนสูง (Sterilization) และการควบคุมการติดเชื้อได้อย่างมีประสิทธิภาพ เพื่อสร้างความมั่นใจให้กับทุกท่าน
ดูข้อมูลเพิ่มเติมสำหรับ : ทีมทันตแพทย์ ผู้ให้การรักษาทันตกรรม BIDC (คลิกอ่าน)
การดูแลรักษาหลังเกลารากฟัน
- หลังจากเกลารากฟัน ในผู้ป่วยบางรายอาจจะมีอาการเสียวฟันจากการเกลารากฟัน แนะนำให้ใช้ยาสีฟันที่ช่วยลดอาการเสียวฟัน
- ต้องติดตามอาการตามวัน และเวลาที่ทันตแพทย์นัดทุกครั้ง
- รักษาความสะอาดช่องปาก และฟันอย่างสม่ำเสมอ แปรงฟันอย่างน้อยวันละ 2 ครั้ง ใช้ไหมขัดฟัน และน้ำยาบ้วนปาก เพื่อลดการเกิดหินปูน
- หลังจากการรักษาสามารถรับประทานอาหารได้ตามปกติ ควรทานอาหารอ่อน ๆ รสไม่จัด ไม่ร้อนจนเกินไป
- นัดตรวจสุขภาพช่องปากและฟัน อย่างน้อย 6 เดือนครั้ง
- อาการเสียวฟันอาจพบได้หลังการรักษาการเกลารากฟัน และจะหายไปเอง หรือผู้ป่วยอาจจะใช้ยาสีฟันที่ช่วยบรรเทาอาการเสียวฟันก็ได้เช่นกัน
- หลังการเกลารากฟันอาจจะมีอาการเลือดซึมในช่วงวันแรก แนะนำให้กัดผ้าก๊อซ และบ้วนน้ำเกลือ
- มีความรู้สึกว่าฟันโยกหลังจากการเกลารากฟันใหม่ ๆ แต่ไม่ต้องกังวล หลังจากนั้นจะรู้สึกว่าฟันค่อย ๆ แน่นขึ้น
ปรึกษาการเกลารากฟัน กับทันตแพทย์ของเราที่นี่
ประโยชน์ของการเกลารากฟัน ที่คุณอาจไม่เคยรู้ !!
ลดปัญหากลิ่นปาก : การเกลารากฟันช่วยลดปัญหากลิ่นปากที่เป็นสิ่งที่รบกวนคนรอบข้างได้ ทำให้คุณมีความมั่นใจมากขึ้น
ฟันแข็งแรงขึ้น : หากตามฟันมีคราบพลัค/หินปูน เกาะเป็นระยะเวลานาน ๆ จะทำให้ฟันเกิดความสึกกร่อน เกิดการผุ และเหงือกไม่แข็งแรง ทำให้รากฟันไม่แข็งแรง และเกิดอาการโยกไปมาได้ เมื่อกำจัดหินปูนที่ซ่อนลึกอยู่ในเหงือกออก ฟันก็จะทำให้ฟันของเราแข็งแรงขึ้นนั่นเอง
ทำให้เหงือกมีสุขภาพที่ดี : หินปูนที่อยู่ลึกใต้เหงือกสะสมมานานหลายปี ก่อให้เกิดอาการเหงือกอักเสบ ทำให้เหงือกไม่สามารถซ่อมแซมตัวเองได้ การเกลารากฟันที่ขจัดคราบหินปูนจึงช่วยให้เหงือกของเรามีสุขภาพที่ดีขึ้น
ป้องกันการเกิดโรคปริทันต์ : หากเราปล่อยให้เป็นโรคปริทันต์นานเกินไป เราอาจจะต้องสูญเสียฟันแท้เลยทันที การเกลารากฟัน (Deep Cleaning) จะช่วยทำความสะอาดที่ลึกลงไปถึงรากฟัน ส่งผลให้เหงือกแข็งแรง และไม่ทำให้เกิดโรคปริทันต์
ส่งผลดีต่อสุขภาพร่างกายอื่น ๆ : สุขภาพช่องปากดีก็จะนำไปสู่สุขภาพด้านอื่น ๆ ที่ดีด้วยเช่นกัน นอกจากนั้นแล้วยังเสริมสร้างความมั่นใจให้ท่านในการพูดคุยอีกด้วย
การดูแลรักษาเหงือก
- รับประทานอาหารที่ถูกโภชนาการสำหรับฟัน และกระดูก และหยุดทำร้ายฟัน ด้วยการหลีกเลี่ยงอาหารเหล่านี้ ..[อ่านต่อ]
- แปรงฟัน และใช้ไหมขัดฟันอย่างถูกวิธี เพื่อขจัดคราบแบคทีเรียไม่ให้สะสม
- ควรงดสูบบุหรี่ เพราะการสูบบุหรี่อาจทำให้ช่องปากเกิดการระคายเคืองและทำให้เกิดโรคต่าง ๆ ในช่องปากได้
- การพบทันตแพทย์เป็นประจำ ทุกๆ 6 เดือน
การป้องกันไม่ให้เกิดโรคปริทันต์
- แปรงฟันและทำความสะอาดซอกฟันอย่างถูกวิธีเพื่อกำจัดคราบจุลินทรีย์ ให้ได้อย่างสม่ำเสมอ อย่างน้อยวันละ 2 ครั้งด้วยยาสีฟันที่มีฟลูออไรด์
- เปลี่ยนแปรงสีฟัน เมื่อพบว่าขนแปรงบาน หรือเสียหายแล้ว
- ขัดฟันด้วยไหมขัดฟัน ระหว่างซอกฟันเป็นประจำทุกวัน อย่างน้อยวันละครั้ง
- ใช้น้ำยาบ้วนปากเพื่อช่วยลดการเกิดคราบแบคทีเรีย
- งดการสูบบุหรี่ และพฤติกรรมที่ส่งผลเสียต่อสุขภาพในช่องปากและฟัน ..[อ่านต่อ]
สรุป
การดูแลความสะอาดของช่องปาก และฟันที่ดีเป็นสิ่งสำคัญ การทำความสะอาดโดยผู้เชี่ยวชาญก็เป็นสิ่งสำคัญเช่นกัน เมื่อมีการสะสมตัวของคราบแบคทีเรียที่มาก และแข็งจนกลายเป็นหินปูน ทันตแพทย์เท่านั้นที่จะขจัดออกได้ แต่เราเองก็สามารถป้องกันโรคเหงือกอักเสบด้วยตัวเองได้ตามคำแนะนำด้านบนนี้
การเกลารากฟันเพื่อรักษาปัญหาโรคเหงือก ปัญหากลิ่นปาก เป็นการแก้ปัญหาที่ปลายเหตุ เราสามารถป้องกันไม่ให้เป็นโรคเหงือกอักเสบได้ โดยการทำความสะอาดซอกฟันด้วยไหมขัดฟัน หรือแปรงซอกฟันอย่างเป็นประจำ เพื่อป้องกันไม่ให้เกิดหินปูน และเหงือกอักเสบได้
ทั้งนี้การขูดหินปูนควรทำทุก 6 เดือน หรือปีละ 1 ครั้ง ตามปริมาณหินปูนที่เกิดขึ้นใหม่ และภาวะการอักเสบของแต่ละท่าน ทันตแพทย์ส่วนใหญ่จะแนะนำให้ขูดหินปูนอย่างสม่ำเสมอ เพื่อสุขภาพช่องปากและฟันที่แข็งแรง
BIDC เราเปิดให้บริการทุกวัน ดูแลทุกท่านด้วยมาตรฐานความปลอดภัยระดับสูง
“ใครอยากปรึกษาปัญหาเรื่องฟัน แอดไลน์คลินิกไว้ได้เลยค่ะ”
ติดต่อเรา คลินิกทันตกรรม BIDC รัชดา
ศูนย์ทันตกรรม บางกอก อินเตอร์เนชั่นแนล เดนทัล เซ็นเตอร์
157, 159 รัชดาภิเษก ซอย7 ถนนรัชดาภิเษก แขวงดินแดง เขตดินแดง กรุงเทพฯ 10400 ประเทศไทย
โทรศัพท์ : +66 (2) 694 6400, +66 (2) 692 4433
อีเมล์ : contact@bangkokdentalcenter.com
Line ID : @bidcdental
สแกน QR Code ปรึกษาเราที่นี่